วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความรู้สึกขณะเวียนเที่ยน episode 2




มีน้อยครั้งที่{Sometime}จะเขียนสด ๆ จากใจเดี๋ยวจะไปใส่ใน Blog

กลับมานั่งดูภาพที่ตัวเองโพสแล้วน้ำตาไหล ผ่านไป 1 สัปดาห์เต็ม ๆ สำหรับเทศกาลกิน เจ ความรู้สึกมันบอกไม่ถูก สิ่งที่ได้มามันไม่ใช่แค่การไม่กินเนื้อสัตว์เท่านั้น สิ่งที่ได้มาคือ มิตรภาพ ความเมตตา ความกรุณาปราณีที่พระสงฆ์แผ่เมตตาให้กับพวกเรา ตลอดจนเพื่อนผู้อาวุโสคอยชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ความเอื้ออาทรที่มีต่อกัน(ไม่ใช่อยู่แบบตัวใคร - ตัวมัน)ความสามัคคีกลมเกลียวกัน งานจะสำเร็จลุล่วงไปไม่ได้ถ้าไม่มีผู้อาวุโสหรือเจ้าหน้าที่ยอมเสียสละตลอด 10 วันเต็ม

คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันนับเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ เราได้เดินเวียนเทียนถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นรอบใหญ่ปิดถนนเดินระยะทางรวมแล้วเกือบ 10 กิโลเมตรแต่ไม่มีมีใครย่อท้อ เจ้าที่คอยบริการน้ำตลอดทาง ผู้คนนั่งรถผ่านก็อนุโมทนาบางคนเอาสิ่งของมาแจกเช่นซีดีระหว่างเดิน ที่สำคัญคนมีอายุมากแล้วยังเดินได้เกือบ 10 กิโลเมตรถ้าใครไม่ได้เห็นด้วยตาก็คงไม่เชื่อว่าเป็นไปได้แต่ก็เป็นไปแล้วไม่ ใช่เดินอย่างเดียวมีการสวดมนต์ด้วย อย่างที่บอกรอบที่ 1 เดินให้ ในหลวงของเรา รอบที่ 2 เดินให้กับบิดา - มารดา ญาติสนทมิตรสหาย รอบที่ 3 เดินให้กับตัวเอง ชาวไทยเชื้อสายจีนไม่แบ่งชนชั้นเวลาอยู่ในกลุ่มผู้ที่ปฏิบัติธรรมด้วยกันไม่ มีวรรณะ - ไม่รวย - จน - ถ้าโลกเรามีกินเจทุก ๆ วันก็ดีสิน่ะอยากให้เป็นอย่างนั้น - วัน- เวลาผ่าน

ไปเร็วเหมือนติด ปีกหมดไปที่ ชั่วโมง - นาที - วินาที ผ่านไปเร็วเพียงกระพริบตาเวลาก็ผ่านไป 1 วินาที กระพริบตา 10 ที่ ก็ผ่านไป 10 วินาทีเหมือนสูดลมหายใจเข้าออกเช่นเดียวกันมีคนมักพูดเสมอว่า อย่าหายใจทางไปเปล่า ๆ โดยไม่ทำประโยชน์อะไรเลย นี่ก็ผ่านเทศกาลกิน เจ - ออกพรรษาแล้ว ลอยกระทงกำลังจะมาถึงเดือน(พฤศจิ)จากนั้นก็ปีใหม่ 2554 เห็นมั๊ย ?เวลาว่ามันเร็ว นับถอยหลังสู่วันกลับ้านเก่ากันทุกคน(ตาย)จากทารกสู่วัยเด็ก จากเด็กสู่วัยรุ่น จากวัยรุ่นสูวัยผู้ใหญ่จากวัยผู้ใหญ่เข้าสู่วัยชรา จากวัยชราแล้วก็เก็บเข้าโลงคิด ๆ ดูแล้วไม่นานนักคนเรามีอายุเฉลี่ย 70 ปี แป๊ปเดียวก็ 1 ปี ไม่นานจริง ๆ 365 วันไม่นาน ยังจำ

ได้ว่าเอ๊ะปี ใหม่แล้ว - อ้าว สงกรานต์มาถึงแล้ว โอ....เข้าพรรษาแล้วและแล้วก็เพิ่งออกพรรษาเมื่อวานนี้ 23 ตุลา 2553 เล่าเรื่องกิน เจ เสือกนอกเรื่องซ่ะแล้ว ในเทศกาลกิน เจ ยังมีเรื่องราวมากมายให้ศึกษาว่าทำไมเราต้องกิน เจ เรากิน เจ เพื่อ อุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษก็ได้ กิน เจ เป็นกุศลโลบายอย่างหนึ่งเพราะ ปกติในวันหนึ่ง ๆ กิเลสเกิดบ่อย เกิดมาก ทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ถ้าปัญญาเกิดขณะนั้นจะสำรวมระวัง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ{สติ}เกิดเมื่อไหร่ขณะนั้นจิตก็

ผ่องใสจากอกุศลชั่วขณะ คำนิยามในการกิน เจ ของ{Sometime}การทรงเจ้าต่าง ๆ นั้นจะไม่พูดถึงแต่จะกล่าวถึงการไม่กินเนื้อสัตว์ และอานิสงค์ของการไม่กินเนื้อสัตว์ ถึงจะออก เจเป็นเวลา 1 สัปดาห์เต็ม ๆ แล้ว{Sometime}ก็ยังกิน เจต่อไปคือ ถือ อุโบสถศีล และก็ไม่ใช่เพิ่งทำจะมาปฏิบัติความจริงทำมาหลายปีแล้ว การถือ อุโบสถศีลคือ..........................

ไม่กินเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด

ไม่พูดจากับใคร

ไม่ดูสิ่งบันเทิงเริงรมณ์

ไม่นอนบนที่นอนนุ่ม ๆ หรือเตียง

ไม่กินข้าวมื้อเย็น

ไม่พูดปด

ไม่กินเหล้าหรือมั่วสุมอบายมุข

และข้อปลีกย่อยอื่น ๆ เช่นสำรวม กาย วาจา ใจ


ป.ล.เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วขณะนี้ส่งองค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้ากลับสู่สวรรค์เรียบร้อยแ้้ล้ว นี่ถ้า


ไม่ใช่เว็ปที่มี

เนื้อหาเกี่ยวกับธรรมมะคงไม่กล้าเขียน



ลิงค์ที่มาของความประทับใจ...........


http://drinkmecome.blogspot.com/2010/10/2553-2010.html




................ขอสอดแทรกข้อธรรมนิด ๆ หน่อย ๆไว้เตือนใจ..............


ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องมาจาก{ปริยัติธรรม}

พระอริยสาวกทั้งหลายอาศัยแล้วจึงถึงความเป็นสังฆรัตนะ

ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม

เกิดจากการฟังพระธรรม

ผู้ที่เห็นคุณของพระรัตนตรัยมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

ย่อมไม่ขาดการฟังพระธรรมซึ่งเป็นปริยัติธรรม

ข้อสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ฟังพระธรรมและศึกษาพระธรรม คือ.......................

ต้องรู้ว่าเพื่อน้อมประพฤติปฏิบัติตามเท่าที่สามารถจะกระทำได้

อย่าได้เป็นผู้ที่เพียงฟังจึงชื่อว่าเป็นผู้ที่เคารพในพระธรรมจริง ๆ




เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว

พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในศาสดา

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในธรรม

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในสงฆ์

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในสิกขา

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงกันและกัน

นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ได้นาน

ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว


...........ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น...........


พระธรรมที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงแสดงนั้นไม่มีความแตกต่างกันเลย

เหมือนกันทั้งหมด และเป็นพระธรรมที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาและมี

ความเข้าใจ อย่างแท้จริง เพราะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นไปเพื่อละ

{อกุศล}เป็นไปเพื่อดับทุกข์โดยประการทั้งปวงเป็นไปเพื่อการไม่เกิดอีกใน  สังสารวัฏฏ์

แม้แต่ในเรื่องของการไม่ทำบาปทั้งสิ้น(ละชั่ว)การยังกุศลให้ถึงพร้อม(ทำความดี)

และการยังจิตของตนให้ผ่องใส ซึ่งเป็นโอวาทปาติโมกข์(สำสอนที่เป็นหลักสำคัญ)

นั้นก็มีอรรถที่ลึกซึ้งตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์

เลยทีเดียวโดยที่ไม่มีตัวตนที่จะละชั่วไม่มีตัวตนที่จะทำความดีและไม่มีตัวตนที่จะ

ยังจิตให้ผ่องใส แต่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมมีความเข้าใจพระธรรม

และธรรมนั้นเองจะทำหน้าที่ละชั่วทำความดีและยังจิตของตนให้ผ่องใสเพราะ

ทุกอย่างเป็นธรรมและเป็น อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

ของใครทั้งสิ้น

ดังนั้น จึงต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาด้วยตนเอง

เป็นปกติในชีวิตประจำวันโดยเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา(ความเข้าใจถูก

เห็นถูก)สะสมปัญญาไปตามลำดับ
  
เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก

ผู้หวังความสวัสดีได้พากันคิดมงคลทั้งหลาย

ขอพระองค์ได้โปรดตรัสอุดมมงคล

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระคาถาตอบว่า.........................

ทาน ๑

การประพฤติธรรม ๑

การสงเคราะห์ญาติ ๑

กรรมอันไม่มีโทษ ๑

นี้เป็นอุดมมงคล


..............................วันเวลาของการกินเจ...................


เราสามารถแบ่งการกินเจได้  2  แบบ คือ.................................

1.การกินเป็นกิจวัตร คือ การละเว้นการกินเนื้อสัตว์ทั้ง 3 มื้อ เป็นประจำทุกวัน

2.การกินเฉพาะช่วงประเพณีกิน เจ คือ การกินเจในช่วงวันขึ้น ๑ ค่ำถึง ๙ ค่ำ เดือน ๙ ตามปฏิทินจีน

ซึ่งวันเวลา ของการกินเจทั้ง 9

วันนั้นจะมีชื่อเรียกดังนี้คือ ชิวอิก ชิวยี่ ชิวซา ชิวสี่ ชิวโหงว ชิวลัก ชิวฉิก ชิวโป๊ย และชิวเก้าด้วย

โดยที่{เจอิ้ว}หรือผู้ร่วมพิธีกิน เจ จะมีการทำบุญในระหว่าง 9 วันที่เรียกว่า{เจคี้} หรือ{ซาลักเก้า}

ซึ่งประกอบด้วยวันชิวซา ชิวลัก

และ ชิวเก้า ด้วย โดยการนำโหงวก้วยหรือซาก้วย ผลไม้ 5 หรือ 3 อย่างมาไหว้ ซึ่งมักนิยมใช้ผลไม้

ที่มีความหมายเป็นมงคล เช่น {ส้ม}ซึ่งในภาษีจีนเรียกว่า ไต้กิก แปลว่า โชคดี องุ่น หรือ พู่ท้อ

หมายถึง งอกงาม สับปะรด หรือ อั้งไล้ แปลว่า มีโชค

และกล้วย ที่หมายถึง การมีลูกหลานสืบสกุล



........................ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางศาสนา.........................


ในมุมมองของศาสนาจะมองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของชีวิตและจิตใจ ซึ่งได้แก่.....................

1. บังเกิดเมตตาจิต เกิดความสงบ สุขุม เยือกเย็น อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น โมโหง่าย ดวง ธรรมญาณอันบริสุทธิ์จะ

ปรากฏออกมาซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริม ให้บารมี ธรรมสูงขึ้นเรื่อย ๆ

2. ทำให้มีสติมั่นคง มีสมาธิแน่วแน่ ไม่ประมาทเลินเล่อ เป็นประโยชน์ต่อการดำเนิน ชีวิตและการทำงาน สามารถรอดพ้นจากภัย

ต่าง ๆ เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ ภัยจากเคราะห์กรรม เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี

3. หยุดการทำบาป ตัดเวรกรรมที่ผูกพัน ทำให้ไม่เกิดการอาฆาตพยาบาท ทำให้ปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งร้ายตาม

จองเวร

4. สิ่งไม่ดีจะถูกขับออกไป ความรู้สึกขุ่นมัว มืดมนจะหมดไป หลังจากกินเจต่อเนื่องกัน เป็นระยะเวลานาน ๆ ความสดใสจะปรากฏ

ขึ้นในจิตใจ และถ่ายทอดออกไปสู่ใบ หน้าให้มีความสะอาดสดใส

5. ผู้ที่กินเจ รวมทั้งครอบครัวและบุตรหลาน และคนในปกครองจะเกิดความรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้เกิด อยู่ในดินแดนอารยะ มีแต่

ความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากการทำร้ายรบราฆ่าฟัน ไม่มุ่งร้ายทำลายชีวิตซึ่งกัน และกัน

6. ทำให้จิตใจสะอาดไม่ฟุ้งซ่าน จิตใจที่สะอาดทำให้มองเห็นกายอันแท้จริง สามารถสู่นิพพาน ได้ในที่สุด

7. เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครองอารักขาไม่ให้สิ่งเลวร้ายหรือวิญญาณชั้นต่ำเข้ามาทำร้าย

ผู้ที่มองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของศาสนา จะมีการปฏิบัติที่เคร่งครัดว่า การมองประโยชน์ของการ กินเจในแง่อื่น ซึ่งมักจะให้

ผลที่สามารถมองเห็นได้อย่างเกินคาด เกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น การลุยไฟ การใช้เหล็กเสียบแทงตนเอง หรือ

ม้าทรงต่าง ๆ ในเทศกาลกินเจที่จังหวัดตรัง นั่นคือ ความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เสมอ


ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ

1.ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผัก ผลไม้ เป็นพลังที่ไม่ทำร้ายร่างกาย

2.ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืช ผัก ผลไม้ 
ช่วยระบบ การย่อยและระ

บบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่าง ๆ เช่น โรค
ริดสีดวงทวาร

3.หากรับประทานประจำจะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง 
ทำให้ ผิวพรรณผ่องใส มี

อายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรงมีความต้านทานโรค มีความคล่อง ตัวรู้สึกเบา
สบายไม่อึดอัด

4.ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคลำไส้ 
โรคเก๊าต์ ฯลฯ เพราะได้รับ

อาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุ ุและยังช่วยป้องกันโรคเหล่านี้

5.อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง 5 ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพอวัยวะหลัก ได้แก่ 
หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด

อวัยวะเสริมทั้ง 5 ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี

6.ผู้ที่กินเจจะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่าง ๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งได้แก่ ยา
กำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือ

สารเคมีที่เป็นอันตรายอื่น ๆ มลภาวะที่เกิดจากการ เผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรง
งานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะ

ปนอยู่ในอากาศ รวมถึงแหล่งอาหารและน้ำดื่ม

จะเห็นได้ว่าในทางกานแพทย์นั้น การกินเจมีประโยชน์ในการรักษา ที่สามารถพิสูจน์และ มองเห็นได้
ชัดเจน กว่าประโยชน์ใน

ทางศาสนา แม้ว่าการปฏิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความ ต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น