วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

ห่างไกล




ในเวียดนามมีเรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่งแต่งงานได้ไม่นาน ก็ถูกเกณฑ์ไปทำสงคราม จึงต้องทิ้งภรรยาสาวเอาไว้ เขาหายไป ๓ ปีไม่ส่งข่าวมาเลย เมื่อกลับมาบ้าน ภรรยาก็ดีใจ สามีจึงให้ภรรยาไปซื้อของมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษตามประเพณี ระหว่างที่ภรรยาเข้าไปในตลาด ชายคนนั้นก็เดินเข้าบ้าน เจอเด็กอายุ ๓ ขวบ เด็กถามว่าเป็นใคร ชายหนุ่มก็บอกว่า ฉันเป็นพ่อของหนูไง เด็กบอก ลุงไม่ใช่พ่อหนู พ่อหนูมาที่บ้านทุกคืนเลย ทุกคืนแม่จะคุยกับพ่อแล้วก็ร้องไห้ แม่นั่งพ่อก็นั่งด้วย แม่นอนพ่อก็นอนด้วย พอได้ฟังอย่างนี้ชายหนุ่มก็ขุ่นเคืองขึ้นมาทันที ความรู้สึกต่อภรรยาของตัวเองเปลี่ยนไปทันที เมื่อภรรยากลับมา



จากตลาด ชายหนุ่มก็แสดงทีท่าเฉยชามึนตึงไม่พูดด้วย เมื่อทำการเซ่นไหว้บรรพบุรุษเสร็จ ก็เก็บเสื่อเลย ไม่ยอมให้ภรรยายเซ่นไหว้ด้วย ภรรยาตกใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผู้ชายก็ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เดินหายเข้าไปในหมู่บ้าน เอาแต่ร่ำสุรา สามวันสามคืนไม่กลับมาเลย ภรรยาเสียใจร้องห่มร้องไห้ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์เฝ้าคอยสามีมาตลอด แต่ทำไมถึงกระทำกับตนอย่างนั้น ราวกับว่าตัวเองไม่มีอยู่ในโลก เธอทนสภาพเช่นนี้ไม่ได้ในที่สุดก็โดดน้ำตาย ชายหนุ่มกลับมาทำพิธีศพภรรยา ตอนเย็นก็กลับมาบ้าน พอจุดตะเกียง ลูกชายก็ตะโกนออกมาว่า นี่ไงพ่อ แล้วเด็กก็ชี้ไปที่เงาของพ่อบนกำแพง เด็กพูดต่อว่า พ่อมาทุกคืนอย่างนี้แหละ แม่คุยกับพ่อทุกคืน ร้องไห้ด้วย ถ้าแม่นั่งพ่อก็นั่ง ถ้าแม่นอนพ่อก็นอน ถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงก็คือว่า ภรรยาของเขาร้องไห้กับเงาของตัวเองทุกคืน ด้วยความคิดถึงสามี แล้ววันหนึ่งลูกสงสัยขึ้นมาว่าพ่อของตัวอยู่ไหน แม่จึงชี้ไปที่เงาบนกำแพงแล้วบอกว่า นี่งัยพ่อของลูก เด็กก็พาซื่อ เข้าใจว่าเงาบนกำแพงนั้นเป็นพ่อของตัวจริง ๆ ทั้งภรรยาและสามีต่างรักกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน แต่ทำไมเรื่องนี้จึงจบลง
ด้วยความเศร้า นั่นก็เพราะชายหนุ่มปักใจเชื่อความคิด


ของตน พอได้ยินคำพูดของเด็กซึ่งไร้เดียงสา ก็สรุปทันทีว่าภรรยาของตัวมีชู้ ดูจากลักษณะอาการที่ลูกเล่า มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น จะมีใครที่ไหนมาหาภรรยาของตนทุกคืน นอกจากชายชู้ เขาเชื่อว่าภรรยามีชู้เพราะลักษณะอาการมันน่าจะเป็นอย่างนั้น ว่าโดยตรรกะก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็น เพราะชายหนุ่มด่วนสรุป โดยไม่รู้จักท้วงความคิดของตัวเองบ้าง ว่าความจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองคิดก็ได้ แต่เมื่อสรุปและเชื่อความคิดอย่างนั้น ก็ทำให้เห็นภรรยาของตัวเป็นคนเลวทันที ที่จริงเรื่องนี้อาจไม่จบอย่างนั้น หากชายหนุ่มพยายามหาความจริง เช่น สอบถามภรรยาของตัวว่าอะไรเป็นอะไร แต่เป็นเพราะปากหนัก จึงทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ถ้ามีสติเราจะทักท้วงความคิดของตัวเองว่า อย่าเพิ่งสรุปอย่างนั้น คนที่มีสติ รู้ทันความคิด เขาจะไม่เชื่อความคิดของตัวเองง่าย ๆ เพราะรู้ว่า ความคิดเป็นสิ่งที่วางใจไม่ได้ เวลาเราเจริญสติ จะรู้ดีว่าความคิดมันหลอกเราเก่งแค่ไหน คิดเป็นตุ



เป็นตะ น่าเชื่อถือ แต่บางทีก็ตีตนไปก่อนไข้ ถ้าเรารู้จักความคิดของเราดีพอ เราจะไม่ด่วนสรุป ไม่รีบตัดสินอะไรง่าย ๆ สติจะช่วยทักท้วงหรือตักเตือนให้ช้าก่อน เพราะประสบการณ์หลายๆ ครั้งสอนเราว่า เมื่อด่วนสรุปแล้วมักจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้น สิ่งที่เราคิดว่าแน่นอนแล้ว แต่ความจริงเป็นตรงกันข้าม ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เราไม่ด่วนสรุปหรือเชื่ออะไรง่าย ๆ แม้แต่ความคิดของตัวเอง {สติ}ช่วยให้เราระลึกถึงกาลามสูตรข้อที่ว่า อย่าเชื่อเพราะรูปลักษณะมันน่าจะเป็นอย่างนั้น ความเป็นจริงอาจจะเป็นอีกอย่างซึ่งเรานึกไม่ถึงก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรามีสติเราจะไม่ด่วนสรุปอะไรง่าย โดยเฉพาะการสรุปไปในทางที่เป็นโทษกับตัวเองหรือเป็นภัยแก่ผู้อื่น ลองดูเถอะว่า กี่ครั้งกี่หนแล้วที่พอเราด่วนสรุปไปแล้วทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ และคนอื่นก็เดือดร้อนด้วย กี่ครั้งแล้วที่ เราด่วนสรุปเพราะรูปลักษณะมันชวนให้เชื่อว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เคยเจอไหม นัดกันแล้วไม่มาตามนัด เลยโกรธ หาว่าเขาโกหกเรา ไม่ให้ความสำคัญกับเรา



เสร็จแล้วใจก็หวนไปคิดและขุดเอาเรื่องเก่า ๆ ที่ไม่ดีของเขาออกมา เช่น มาสายเป็นประจำ พูดจาเชื่อถือไม่ได้ ไม่รับผิดชอบงานการ ฯลฯ ถ้าเรามีความคิดแบบนี้ขึ้นมา น่าจะท้วงเอาไว้ก่อน เพราะเขาอาจจะมาแต่ยังมาไม่ถึง หรืออาจจะมาแล้วแต่ว่าไปรอคนละประตู หรืออาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน เช่น นัดกันสี่โมงเย็น แต่เขามาสี่โมงเช้า หรืออาจจะมาแล้วแต่เกิดอุบัติเหตุ หรือพ่อแม่เกิดป่วยกะทันหัน มีสาเหตุสารพัดที่ทำให้เขาไม่สามารถมาพบเรา ณ เวลานั้น หรือตรงจุดนั้นได้ แต่เรากลับปักใจว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้เรื่องอย่างเดียว สุดท้ายก็พบว่าความจริงเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ที่จริงถ้าสติของเรารวดเร็วฉับไว เราจะทักท้วงได้ดีขึ้นและลึกขึ้น ได้ดีขึ้น เวลามีคนมาด่าหรือตำหนิเรา ถ้าไม่มีสติ เราจะเป็นทุกข์ทันที เพราะใจจะสำคัญมั่นหมายว่า ฉันถูกด่า หรืออาจะนึกต่อไปว่า “ทำไมถึงมาด่าฉัน แต่ถ้ามีสติ มันจะท้วง



ขึ้นมาเลย ทำไมฉันถึงทุกข์เพราะลมปากเขาเคยไหม เราเคยให้สติมาทักท้วงบ้างไหมว่า ทำไมถึงต้องทุกข์เพราะลมปากเขา เราได้แต่บ่นว่าทำไมเขามาด่าฉัน ทำไมไม่เห็นความดีของฉัน แต่เราเคยถามตัวเราเองบ้างหรือเปล่าว่า ทำไมฉันถึงทุกข์เพียงเพราะลมปากของเขา บางทีก็บ่นเสียใจว่า เขาไม่เข้าใจฉันเลย ๆ ถ้าเรามีสติเราจะถามตัวเองใหม่ว่า แล้วฉันเข้าใจเขาบ้างหรือเปล่า ถ้าเรามีสติและปัญญาที่แคล่วคล่องฉับไว เมื่อประสบเหตุการณ์ไม่น่าพอใจ นอกจากจะไม่ทุกข์ คือเฉย ๆ หรือเสมอตัว คือไม่ทุกข์ เรายังสามารถทำให้มันกลายเป็นบวกขึ้นมา หรือเกิดเป็นประโยชน์ต่อจิตใจ เรียกว่ามีกำไรเกิดขึ้น อย่างคนที่เป็นมะเร็ง บางคนนอกจากจะไม่ทุกข์ที่เป็นมะเร็งแล้ว ยังรู้สึกโชคดีที่เป็นมะเร็ง ส่วนคนที่ประสบความพลัดพรากสูญเสีย นอกจากจะไม่ทุกข์เพราะถือว่าธรรมดาแล้ว ยังได้บทเรียนสอนใจ เกิดปัญญา เข้าใจธรรมะ นี่เรียกว่าได้กำไร คือได้ประโยชน์ เราต้องรู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นคุณให้ได้ พระพุทธ



องค์เคยตรัสว่า คนฉลาดได้ประโยชน์จากศัตรูมากกว่าที่คนเขลาได้จากมิตร ถ้าความทุกข์เหมือนกับศัตรู เราก็พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ความทุกข์ให้ประโยชน์แก่คนฉลาด มากกว่าที่คนเขลาจะได้จากความสุข สำหรับผู้ที่มีปัญญาแล้ว สามารถจะได้ประโยชน์จากศัตรูหรือความทุกข์ได้มาก เช่น เวลาศัตรูมาด่ามาว่า มองให้ดี ก็จะเห็นตัวเราในอีกแง่หนึ่ง ซึ่งมักจะมองไม่เห็น เพราะศัตรูชอบเอาแง่ที่ไม่ดีของเรามาแฉ ในขณะที่เพื่อนๆ มองไม่เห็นหรือไม่กล้าพูดเพราะเกรงใจ กลัวมิตรภาพจะสั่นคลอน แต่ศัตรูเขาไม่แคร์ จึงเอาส่วนที่ไม่ดีของเราออกมาแฉ ประโยชน์ที่เราจะได้ก็คือ เราได้เห็นความจริงอีกด้านหนึ่งของเรา จริงอยู่ส่วนที่ไม่จริงก็คงมีอยู่ เราก็ต้องรู้จักตัดออกไป แต่อันไหนที่เป็นความจริง แม้จะเป็นด้านลบ ก็ควรเอามาพิจารณาเพื่อแก้ไขปรับปรุงตัวเอง ด้วยวิธีนี้ชีวิตของเราจึงจะเจริญงอกงามได้

ที่มาของบทความกรุงเทพธุรกิจ


โดย......พระไพศาล วิสาโล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น